วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขนมสำปันนี


ขนมสำปันนี


ส่วนผสม

                                                        * แป้งมัน 3 1/2 ถ้วยตวง
                                                        * น้ำตาลทราย 3 1/2 ถ้วยตวง
                                                        * มะพร้าวขูด 500 กรัม
                                                        * น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
                                                        * สีผสมอาหาร
                                                         * เทียนอบ

 วิธีทำขนมไทย

          1. นำน้ำลอยดอกมะลิไปผสมกับมะพร้าวขูด คั้นเป็นน้ำกะทิออกมา จากนั้นใสน้ำตาลทรายลงไป แล้ว        นำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนงวดเป็นยางมะตูม ปิดไฟและทิ้งไว้ให้เย็น
                    2. นำแป้งมันไปคั่วบนกระทะให้สุก เสร็จแล้วปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
                    3. ผสมแป้งที่คั่วแล้ว (ขั้นตอนที่สอง) กับน้ำกะทิเชื่อม (ขั้นตอนที่ 1) และสีผสมอาหาร   คนจนส่วนผสมละลายทั่วและเข้ากันดี จึงนำไปอัดใส่แม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ อบด้วยเทียน
                    4. จัดใส่จานเสริฟ รับประทานได้ทันที

ขนมตะโก้


ขนมตะโก้




       ส่วนผสม


                                                * แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
                                                * น้ำกลิ่นมะลิ 3 ถ้วยตวง
                                                * น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
                                                * น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วยตวง
                                                * แห้วต้มหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วยตวง
                                                * กระทงหรือแบบสำหรับใส่ขนมสำหรับทำหน้าตะโก้
                                                * แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
                                                * กะทิ 2 ถ้วยตวง
                                                * เกลือป่น 1 ช้อนชา

                                                                       วิธีทำขนมไทย


                     1. เตรียมทำตัวตะโก้ โดยผสมแป้งถั่วเขียว, น้ำตาลทราย, น้ำใบเตยและ น้ำกลิ่นมะลิ เข้าด้วยกันในหม้อ และนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนสุกและข้น
                    2. จากนั้นใส่แห้วจีนต้มที่หั่นเตรียมไว้ลงไปในหม้อ กวนต่ออีกสักครู่จึงปิดไฟ ตักตัวตะโก้หยอดในกระทงหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ประมาณครึ่งนึงของแบบ
                    3. เตรียมทำหน้าตะโก้ โดยผสมแป้งข้าวเจ้า, กะทิ และเกลือป่น เข้าด้วยกันในหม้อขนาดเล็ก จากนั้นนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนข้นพอดี จึงปิดไฟ
                   4. หยอดหน้าตะโก้ลงบนกระทงหรือแบบให้เต็ม ทิ้งไว้ให้เย็น จัดใส่จานเสริฟเป็นของว่างได้ทันที


วิธีทำขนมไทย


วิธีทำขนมไทย

การทำขนมไทยนั้น สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน โดยสามารถแยกออกเป็น วิธีหลักๆ ดังนี้
     1. ต้ม : คือ การนำวัตถุดิบใส่หม้อพร้อมกับน้ำหรือกะทิ ตั้งไฟให้เดือดจนสุก การทำขนมที่ต้องต้ม และเป็นขนมที่ใช้ใบตองห่อ ต้องห่อให้สนิท ใบตองต้อง ไม่แตก เช่นข้าวต้ม แกงบวด ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ฯลฯ
      2. นึ่ง : คือ การทำอาหารให้สุกโดยใช้ไอน้ำ โดยใส่ขนมลงไปในลังถึง ปิดฝา ตั้งไฟให้น้ำเดือด นึ่งจนขนมสุก ส่วนมากจะเป็นขนมที่มีไข่เป็นส่วนผสม เช่น สาลี่ ชนมชั้น สอดไส้ ฯลฯ เวลาและความร้อนที่ใช้ในการทำนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของขนมนั้นๆ

       3. ทอด : คือ การทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมัน โดยใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนทั่วแล้วจึงใส่ขนมที่จะทอดลงไป ขนมบางชนิดใช้น้ำมันมาก เรียกว่า ทอดน้ำมันลอย ใช้ไฟปานกลางสม่ำเสมอ บางชนิดใช้น้ำมันน้อย ใช้กระทะก้นตื้น ตัวอย่างขนมที่ใช้วิธีทอดได้แก่ ข้าวเม่าทอด ทองพลุ ฯลฯ
     4. จี่ : คือ การทำขนมให้สุกในกระทะโดยใช้น้ำมันแต่น้อย ทาที่กระทะพอลื่น กระทะที่จะใช้จี่ต้องเป็นกระทะเหล็กหล่อแบน กว้าง เนื้อเหล็กหนา การจี่ใช้ไฟอ่อน ตั้งกระทะให้ร้อนรุมอยู่ตลอดเวลา และกลับขนมให้เหลืองเสมอกันทั้งสองด้าน เช่น แป้งจี่
   5. เจียว : คือ การทำให้เครื่องปรุงเหลืองกรอบโดยใช้น้ำมัน เช่น หอมเจียว การเจียว หอมเพื่อโรยหน้าขนม หัวหอมควรซอยชิ้นให้เสมอกัน เวลาจะเจียวจะสุกพร้อมกัน มีสีเหลืองสวย น้มันที่เจียวไม่ควรมากเกินไป กะพอใส่ของลงไปแล้วพอดี ใช้ตะหลัวกลับไปกลับมาจนเหลืองกรอบ เจียวจนน้ำมันเหลือติดก้นกระทะเล็กน้อย แต่ระวังหอมไหม้
   6. ปิ้ง : คือ การทำอาหารให้สุกโดยการวางขนมที่ต้องการปิ้วไว้เหนือไฟ มีตะแกรงรองรับ ไฟไม่ต้องแรงนัก กลับไปกลับมาจนขนมสุก ขนมบางชนิดใช้ใบตองห่อ แล้วปิ้งจนเกรียม หรือกรอบ เช่นขนมาก ข้าวเหนียวปิ้ง ก่อนจะปิ้งควรใช้ขี้เถ้ากลบถ่านไว้ เพื่อให้ความ ร้อนที่ได้สม่ำเสมอกัน
   7. ผิงและอบ : ขนมที่ใช้ผิงมีหลายชนิด จะใช้ผิงด้วยไฟบนและไฟล่าง ไฟจะต้องมีลักษณะ อ่อนเสมอกัน ปัจจุบันนิยมใช้เตาอบแทนการผิง เพราะควบคุมความร้อนได้ง่ายกว่า ขนมไทยที่ใช้วิธีการผิงและอบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง สาลี่กรอบ ขนมผิง ฯลฯ


ที่มา:http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert/cooking_thai_dessert.html

ประเภทของขนมไทย


ประเภทของขนมไทย

                       ขนมหวานไทย หมายถึง อาหารชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่กับข้าว แต่เป็นอาหารที่รับประทานตามหลังของคาว เช่น ในอาหารมื้อกลางวันมีก๋วยเตี๋ยวไก่เป็นของคาว ผู้รับประทานอาจจะรับประทานทับทิมกรอบเป็นของหวาน เป็นต้นเมื่อบริโภคอาหารมื้อสำคัญๆ เช่น มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็นควรบริโภคทั้งของคาวและของหวาน สิ่งที่ใช้เป็นของหวานอาจเป็นขนมหรืผลไม้ก็ได้นอกจากจะรับประทานขนมหวานหลังของคาว เราอาจรับประทานขนมหรือขนมหวานในเวลาที่มิได้รับประทานอาหารคาว แต่จะรับประทานขนมหรือขนมหวานเป็นของว่าง หรือรับประทานขนมหวานกับเครื่องดื่ม
                     ขนมหวานไทยจะมีความหวานนำ หรือมีความหวานจนรู้สึกในลิ้นของผู้รับประทานการทำขนมหวานไทยเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและฝึกฝนต้องใช้ศิลปะ วิทยาศาสตร์และ ความอดทน และความเป็นระเบียบ ความพิถีพิถันในการประกอบ ขนมไทยแท้ๆต้องมีกลิ่นหอม หวาน มัน  มีความประณีต ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม จนกระทั่งวิธีการทำ ขนมไทยสามารถจัดแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ได้ตามลักษณะของเครื่องปรุง ลักษณะกรรมวิธีในการทำ และลักษณะการหุงต้ม คือ
     1. ขนมประเภทไข่ เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ฯลฯ
     2. ประเภทนึ่ง เช่น ขนมชั้น ขนมสาลี่ ขนมน้ำดอกไม้ ขนมทราย ฯลฯ
     3. ขนมประเภทต้ม เช่น ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว มันต้มน้ำตาล ฯลฯ
     4. ขนมประเภทกวน เช่น ขนมเปียกปูน ซ่าหริ่ม ขนมตะโก้ ฯลฯ
     5. ขนมประเภทอบและผิง เช่น ขนมดอกลำดวน ขนมบ้าบิ้น ขนมหน้านวล ฯลฯ
     6. ขนมประเภททอด เช่น ขนมกง ขนมฝักบัว ขนมสามเกลอ ฯลฯ
     7. ขนมประเภทปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง ขนมจาก ฯลฯ
     8. ขนมประเภทเชื่อม เช่น กล้วยเชื่อม สาเกเชื่อม ฯลฯ
     9. ขนมประเภทฉาบ เช่น เผือกฉาบ กล้วยฉาบ มันฉาบ ฯลฯ
     10. ขนมประเภทน้ำกะทิ เช่น เผือกน้ำกะทิ ลอดช่องน้ำกะทิ ฯลฯ
     11. ขนมประเภทน้ำเชื่อม เช่น ผลไม้ลอยแก้ว วุ้นน้ำเชื่อม ฯลฯ

ที่มา:http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww523/banjongluk/banjongluk-web1/contents/topic4.htm

ประวัติขนมไทย


ประวัติขนมไทย


                ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง  นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ  งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย  ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง   ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด   ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ   
              ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ  เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน  ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย    ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์  ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น  วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ  จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ   แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ   และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น    เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ     ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น  สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น  ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น  หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย  ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ"  เช่น  ทองหยิบ ฝอยทอง  ทองหยอดจากโปรตุเกส    มัสกอดจากสกอตต์

ที่มา:http://kanomthai.exteen.com/page